เรื่องราวของประเทศหนูซึ่งมีผู้นำเป็นแมว
ที่สำคัญคือหนูเป็นผู้เลือกแมวมาเองเสียด้วย
แมวก็ออกกฎหมายที่ดีอยู่หรอก แต่ไม่ใช่สำหรับหนูแน่ๆ
และแม้จะเลือกแมวสีใหม่ แมวสีอะไรก็ยังเป็นแมว
————
กระทั่งวันหนึ่ง หนูจิ๋วได้เสนอความคิดดีๆ ที่ยังไม่มีใครยอมรับ
แล้วผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร จะนำพาประเทศหนูไปในทิศทางไหนกัน
————
นี่คือจุดเริ่มต้นของการงอกงามทางความคิด
ซึ่งจะเติบโตและแพร่พันธุ์ต่อไปโดยไม่มีอะไรกักขังเอาไว้ได้
————
ประเทศหนู ฉบับนี้คือเรื่องราวที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสุนทรพจน์เมื่อปี ค.ศ.1944 ของทอมมี่ ดักลาส นักการเมืองชาวแคนาดาผู้เป็นได้ก้าวขึ้นเป็นรัฐบาลสายสังคมนิยมคนแรก บรรดา ‘หนู’ ทั้งหลายในเรื่องคือภาพแทนของประชาชนที่จะเลือก ‘แมว’ มาเป็นผู้นำของพวกเขา ทว่าโดยธรรมชาติของแมวแล้ว พวกมันล่าและกินหนูเป็นอาหาร เหมือนดั่งนักการเมืองที่จะแสวงหาประโยชน์จากผู้คน ดังนั้นข้อกฎหมายต่างๆ ที่แมวผู้เถลิงอำนาจกำหนดขึ้นในประเทศหนูจึงมีเพื่อให้พวกมันเองได้อิ่มหมีพีมัน มีเนื้อหนูเข้าปากในทุกวัน โดยที่หนูๆ ทั้งหลายกลับไม่รู้ตัวเลยว่าพวกตนกำลังจับตัวเองใส่พานถวายแมวเช่นนี้ และยังคงเลือกแมวมาเป็นผู้นำต่อไปเรื่อยๆ เพราะยึดติดกับความคิดฝังหัวอันยากจะเปลี่ยนแปลง ถ้าแมวดำไม่ดีก็เลือกแมวขาวสิ ถ้าแมวขาวไม่ดีก็เลือกแมวดำสิ หรือจะลองเลือกทั้งสองสีมาบริหารร่วมกัน เลือกแมวลายทาง เลือกแมวลายจุด...
“สหายเอ๋ย ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สีของแมวหรอก ปัญหาคือการที่พวกมันเป็นแมวต่างหาก”
ทอมมี่ ดักลาส ใช้จังหวะเล่าเรื่องอารมณ์ขันแบบตลกร้ายเสียดสีสภาพสังคมขณะนั้นจนเรียกเสียงหัวเราะฮาครืนจากผู้ฟัง ซึ่งในตอนสุดท้ายเรื่องราวที่ปิดจบลงอย่างชวนสิ้นหวังกลับเป็นแรงปลุกใจให้ฮึกเหิมมากกว่าเก่า สุนทรพจน์ครั้งนั้นจบลงด้วยเสียงปรบมือเกรียวกราวจากผู้คนมากมายซึ่งมีความหวังว่าสังคมจะพัฒนาไปในทางที่วันหนึ่งพวกหนูจะมองเห็นทางใหม่ และไม่ยอมปล่อยให้แมวจับกินได้ง่ายๆ อีกต่อไป
หนังสือภาพเล่มนี้ช่วยย่อยเนื้อหาของเรื่องเล่านั้นโดยสลักประเด็นอันหนักอึ้งทั้งในเรื่องของการกดทับและเสรีภาพทางความคิด ลงบนข้อความที่กระชับและตรงไปตรงมาแต่ก็สะท้อนสังคมได้ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร รวมถึงแฝงสาระสำคัญลงในทุกส่วนของภาพประกอบที่ถ่ายทอดบรรยากาศหม่นหมองของประเทศที่ถูกอำนาจมืดเข้าปกคลุมได้อย่างดีเยี่ยมและทรงพลัง ด้วยเหตุนี้เองหนังสือภาพของหนูๆ จึงเป็นผลงานที่เสียดสีการเมืองดิสโทเปียได้แสบคันไม่แพ้วรรณกรรมการเมืองอันโด่งดัง เช่น เรื่อง 1984 (หนึ่ง-เก้า-แปด-สี่) ของจอร์จ ออร์เวลล์ เลยสักนิด ทั้งยังมีเอกลักษณ์ด้านอารมณ์ขันซึ่งจะทำให้ผู้อ่านต้องหลุดหัวเราะเพราะสถานการณ์ในเรื่องที่จี้ใจอย่างจังอีกด้วย
น่าสนใจที่สาระสำคัญใน ประเทศหนู ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่มีมายาวนานเกินกว่า 80 ปีกลับยังปรับใช้ได้กับสังคมปัจจุบันอย่างไม่ทำให้รู้สึกว่าเก่าเลย ซึ่งนั่นอาจหมายความว่าแนวคิดเรื่องเสรีภาพทางความคิดนี้ยังเป็นสิ่งที่ต้องส่งต่อและหยิบยกมาให้ใครๆ ได้รับรู้มากขึ้น เพราะท้ายที่สุดแล้วพวกเราที่เป็นหนูตัวหนึ่งก็ควรจะสู้เพื่ออนาคตของชาวหนูเราเช่นกัน
----------
ประเทศหนู Le Pays des Souris (Mouseland)
ISBN 9786168328910
จำนวน 32 หน้า ขนาด 23 x 23 ซม. (ปกแข็ง)
พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2568