ความรู้สึกประหลาดแบบว่า ต้องทำอะไรสักอย่างในทริปนี้ เพื่อแก้แค้นใครสักคน กระหน่ำใส่หัวใจเหี่ยวเฉาของผมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่มีเหตุผลตรรกะรองรับทั้งสิ้น เป็นความรู้สึกเอ่อท้น ร้อนวาบเหมือนมีใครราดน้ำมันและจุดไฟเผากลางอก ในเวลาเดียวกันกับที่พลุไฟ ซึ่งเหมือนนัดแนะกันไว้ได้ระเบิดตูมตามเหนือปราสาทดิสนีย์ บนฟากฟ้ามืดมิด พลุถูกจุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วบทเพลง You'll be in My Heart ของฟิล คอลลินส์ก็ดังขึ้นมารับจังหวะ มันช่างพอดิบพอดีเหลือเหลือเกิน ชนิดที่ถ้าผมเป็นคนเคร่งศาสนา เชื่อในพระผู้เป็นเจ้า ผมคงน้ำตาไหลพราก เงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า แล้วพูดว่า ขอบคุณพระองค์ แต่ผมไม่ใช่ ผมแม่งดันเป็นคนประเภทที่จู่ๆ ก็จินตนาการว่า เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ อาจจะเป็นอัลแบรต์ กามูส์ ที่ฟื้นตื่นขึ้นมาจากหลุมในซิ เมติเยร์ เดอ ลูร์มารัง กลางแคว้นโพรว็องซ์ สวมโค้ทยับๆ ปากคาบบุหรี่งอๆ หน้าตาเหมือนเพิ่งอ่านบทวิจารณ์ ของซาร์ตส์เรื่อง ‘เมื่อกามูส์พยายามสร้างสรวงสวรรค์ผ่านตุ๊กตายางขนาดยักษ์’ จบ จากนั้นกามูส์ก็ดีดนิ้วหนึ่งที เทเลพอร์ตมาโผล่ตรงประตูดิสนีย์ แลนด์ฮ่องกง เดินแหวกฝูงชนไม่สนใจว่าใครกำลังเซลฟี่กับปราสาทหรือกำลังซื้อข้าวโพดอบเนย เดินตรงเข้ามาหาผม โอบไหล่ไว้แน่น แบบที่คนเป็นๆ สมัยนี้ไม่ค่อยทำ แล้วก็โน้มตัวลงมากระซิบข้างหู ด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า ไม่มีพระเจ้าหรอก มันก็แค่เรื่องบังเอิญ ถ้านายรู้สึกเหมือนใครจับนายมาไว้ที่นี่ล่ะก็ แปลว่านายกำลังหลอกตัวเอง เฮ้อ! เจ้าความคิดฟุ้งซ่านของผมนี่มันก็ชอบกร่างอยู่เรื่อย ซ้ำยังชอบยิงมุกตลกร้ายใส่ทุกคนโดยไม่ไต่ถามความสมัครใจเลยว่าพร้อมรับมุกหรือเปล่า แต่เอาเถอะ ตอนที่ผมยืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางพลุไฟและกับไม้เซลฟี่ ของฝูงชนที่พร้อมจะเสียบลูกตากันเองทุกเมื่อ ผมนะ อยากจะคว้าสมุดปากกาขึ้นมาจดอะไรสักอย่าง อยากเขียน อยากบันทึก อยากให้มันกลายเป็นถ้อยคำ ไม่ใช่แค่ความรู้สึกชั่ววูบที่ ประเดี๋ยวก็วับหายไป แต่ปัญหาคือ รอบตัวผมตอนนั้นเต็มไปด้วยกองทัพพี่น้องชาวจีนที่แห่กันมาราวกับเดินขบวนฉลองวันชาติที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน เบียดอัดกันแน่นจนผมหายใจแทบไม่ออก พอหายใจไม่ออก สมองก็เบลอ เบลอแบบที่คล้ายกับตอนนี้แหละ ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนจากตรงไหนก่อนดี เอาเป็นว่าผมขออภัยล่วงหน้าไว้ เลยก็แล้วกัน เพราะเรื่องราวจากนี้มันอาจจะกระโดดไปกระโดดมา ย้อนเวลากลับไปมาชนิดที่คุณอาจมึนงงสับสนกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยื่นหน้าคอยแทรกเข้ามาอย่างไม่มียางอาย ที่สำคัญยิ่งกว่า คือผมน่ะไม่คิดจะเคาะย่อหน้าเสียด้วย ตั้งใจเขียนรวดเดียว ตั้งแต่ต้นจนจบ...
---
กลับไป กลับมา
เขียน ภู่มณี ศิริพรไพบูลย์
จำนวน 84 หน้า (ปกอ่อน)
สำนักพิมพ์ตำหนัก
ทีมงาน
กิตติพล สรัคคานนท์, บรรณาธิการต้นฉบับและออกแบบปก
ชาคริต แก้วทันคำ, บรรณาธิการภาษาไทยและพิสูจน์อั กษร
ภู่มณี ศิริพรไพบูลย์, จัดรูปเล่ม